TFS : รู้ก่อน ปรับทัน ตัดสินใจแม่นยำ ในยุค Donald Trump
- BomOlarn
- 1 day ago
- 9 min read
TFS แบ่งปันปัญญา จากเพื่อนสู่เพื่อน

> เมื่อโลกพลิก ประเทศต้องพร้อม องค์กรต้องวางเกม และตัวเราต้องกล้าเดิน
> เพราะในโลกที่ Trump กลับมาเป็นตัวแปรสำคัญ ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน…
> และ “โอกาส” ก็อยู่ในมือของผู้ที่มองทะลุ “อุปสรรค” เสมอ
TFS - True Friends Society เปิดกิจกรรมประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ครั้งแรกหลัง Open House ด้วยหัวข้อใหญ่ระดับโลกอย่าง “Trump’s Effect” ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในมิติ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์

“เชิญตัวจริง ทั้งผู้แทนการค้า การต่างประเทศ การฑูต ร่วมแลกเปลี่ยนกันอย่างเพื่อนเล่าสู่เพื่อน”
ไม่ว่าเราจะเป็น SMEs ตัวเล็กๆ จนถึงผู้กำหนดนโยบายขององค์กร จนถึงประเทศไทย ควรเตรียมตัวอย่างไร มีโอกาส และข้อควรระวังอะไร ที่เราควรรู้ โดย มีผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน คุณเกียรติ สิทธีอมร, คุณวีระศักดิ์ ฟูตระกูล, คุณพรพิมล กาญจนลักษณ์ สัมภาษณ์ โดย คุณวิเชฐ ตันติวานิช และ คุณโอฬาร วีระนนท์ และปิดท้ายโดย คุณสุขเทพ จันทร์ศรีชวาลา โดยเนื้อหาตลอดกว่า 3 ชม. สรุปออกมาดังนี้ (ส่วนใครอยากได้ Version สั้น ๆ อ่านจาก Quote 15 รูปแรก ก็ได้เนื้อหาสำคัญส่วนหนึ่งได้ครับ)
TFS : รู้ก่อน ปรับทัน ตัดสินใจแม่นยำ ในยุค Donald Trump

คุณเกียรติ สิทธีอมร
อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย
ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย

หัวใจของการค้าระหว่างประเทศ คือ การตกลงหารือกัน ว่าถ้าลด Tariff ลงได้ จะทำให้เศรษฐกิจของแต่ละประเทศเติบโตได้ร่วมกัน จนเกิดข้อตกลงใน GATT (General Agreement on Tariffs and Trade) ที่ใช้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ค.ศ. 1986 และสิ้นสุดในปี 1994 (2537) แต่พอตั้งมาแล้ว ก็ต้องมีฝ่ายเลขา มาดูเรื่องการกำกับให้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงมีการตั้ง WTO ขึ้นในปี 2538 ในเวลาต่อมา ซึ่งในเวลานั้นทุกประเทศต่างมีอการอุดหนุนสินค้าเกษตรของตนเอง ในเวลานั้นเรามี ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก และต่อมาเป็นเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) โดยมีหนึ่งในหลักการสำคัญที่สุด คือ หลัก “Most-Favoured Nation (MFN)” หรือในภาษาไทยว่า หลัก “ชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง” บังคับใช้กับทั่วโลก หมายความว่า ถ้าประเทศสมาชิก WTO ให้สิทธิทางการค้าพิเศษกับประเทศหนึ่ง เช่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าประเภทหนึ่ง ประเทศนั้นจะต้องให้สิทธิเช่นเดียวกันกับสมาชิก WTO ทุกประเทศทันที (ยกเว้นบางกรณี เช่น การรวมกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาค หรือให้สิทธิกับประเทศพัฒนาน้อย) เช่น หากประเทศไทยลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นเหลือ 10% ตามหลัก MFN ประเทศไทยจะต้องลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากประเทศสมาชิก WTO อื่น ๆ เหลือ 10% เช่นเดียวกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ หรือให้สิทธิพิเศษกับบางประเทศเท่านั้น

แต่สิ่งที่ Trump ทำ คือการทำลาย MFN ให้เปลี่ยนไป คือ “ยกเลิก และไม่เอาเลย” แต่เรียกทุกประเทศ กำหนด กฏเกณฑ์ใหม่หมดด้วยตนเอง ดังนั้นหากเราจะไปเจรจา เราต้องคิดถึงหลัก “MFN” เป็นหลัก และต้องคิดถึงเสาหลักของ WTO ที่เป็นเสาหลักที่เราพึ่งพิงได้จนทุกวันนี้ ไม่งั้นเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำลาย “WTO” ร่วมกับ Trump และผลเสียจะกู้กลับยากมาก
แต่ถามว่า ถ้าต้องทำจริงๆ ทำได้มั๊ย? ทำได้แต่ต้องทำเป็น Bilateral Agreement ให้ถูกตั้ง และมีหลักการชัดเจน และในที่สุดจะถูกต่อยอดเป็น Multilateral Agreement โดย WTO
ประเทศไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีมาก ดังนั้นการไปเจรจาในขณะที่เค้าบอกว่า “They all come to kissing my ass” เพื่ออธิบายว่าประเทศต่าง ๆ กำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ เราไม่ควรเดินเข้าไปในบรรยากาศนั้นเด็ดขาด ประเทศไทยควรอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถ้าเค้าไม่เปลี่ยน Mood and Tone ในการเจรจา สิ่งนี้สำคัญไม่น้อยกว่าสาระในการเจรจา เราควรใช้กระบวนการทางการทูต เราเติบโต้กันผ่านสื่อไม่ได้ เราต้องไม่ทำตัวเป็นคนที่พร้อมชนกับทุกคนบนโลกนี้ ความสำเร็จที่ผมมีมาตลอดเวลาทั้งในภาครัฐ และเอกชน มาจากการทำความเข้าใจ มาจากการประชุมนอกรอบ มาจากเครือข่ายที่เรามี มาช่วยกันดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นก่อนที่เราจะไปใดๆ เราต้องมีความมั่นใจก่อนว่าเค้าจะมีการต้อนรับเราอย่างดี ในสมัยที่เราทำงานเพื่อการเจรจาระหว่างประเทศ เราเตรียมตัวก่อน 3 เดือนเสมอก่อนเดินทาง และทำให้ได้ผลลัพธ์ และ Order จริงๆ ในการทำงานได้ ผมแค่ผ่านปานามา ในการแวะ เราขาย Computer ได้ 1 ล้านเครื่อง เราไม่จำเป็นต้องไปเดินเดี่ยวและแยกเดี่ยว เราคุยกับ ASEAN น้อยเกินไป และต้องรู้จักการรวมตัว และพลังของการรวมกัน

ข้อสังเกตุที่น่าสนใจ
1. “สหรัฐเอง จะยืนระยะได้นานแค่ไหน?”
นโยบายที่จะให้คนย้ายฐานการผลิตไป USA ไม่ใช่ทำได้เลย บางที่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี แม้กระทั่งการประกาศภาษีกับทุกประเทศ มัมกระทบไม่ใช่แค่เอกชนแต่ ประชาชนของ USA ก็เดือดร้อนไปด้วย วัตถุดิบแพงขึ้น สินค้าบริหารแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ฯลฯ แล้วประชาชนเค้าจะคิดอย่างไร จนกระทั่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนท้าว่า อยากทำอะไร ประกาศอะไรว่าไปเลย เพราะในความเป็นจริงเชิงเศรษฐศาสตร์มันยืนระยะได้ไม่นาน เอาแค่กลางปีที่ก็ยากแล้ว และอีก 2-3 เดือนยิ่งยากเป็นทวีคูณ
2. “บัญชีการค้าอาวุธ ไม่อยู่ใน Book"
ผมเคยตรวจสอบบัญชีรายได้ของสหรัฐ บัญชีรายได้จากการค้าอาวุธ (Defend Industries) ไม่อยุ่ใน Book ของเค้า ซึ่งจริงๆ Defend Income ของ USA สูงมากเลย เราต้องฉายแสงลงไปให้เห็น และเป็นจุดร่วมของหลายประเทศได้เลย แต่อาจมีเกี่ยวข้องประเด็น Corruption ในการจัดซื้อ
ดังนั้นการที่เรารีบวิ่งไปเจรจา จากความตกใจมาตรการด้าน Tariff ของ USA โดยยังไม่มีอะไรชัดเจนในฝั่งคนเรา อาจไม่ใช่เรื่องดี และทำให้เสียเปรียบได้ ดังนั้นต้องทำอย่างมีสติ มีข้อมูล และมียุทธศาสตร์มาก

Panel Talk เกร็ดดีๆ ให้คนไทย ที่สนใจการพัฒนา
ทุกประเทศต่างมีความท้าทายของตนเอง รัฐบาลก็มีหน้าที่ของเค้า จะหวังได้มากรึน้อยก็อีกเรื่องนึง
แต่สำหรับเอกชน : เรามีความสามารถในการปรับตัวแค่ไหน คุณเก่งที่สุด ในแบบของคุณรึยัง ในปัจจุบัน เวลา Diversify ต้องให้ความสำคัญกับ Digital Transformation และมีสองอย่างที่มีความสำคัญมาก สำหรับเอกชนคือ 1.ต้นทุนการเงินต้องต่ำสุด 2.ตลาดต้องมีเยอะที่สุด 3.เปลี่ยนตัวเองด้วย Reserch, Tehcnology และ Skills ต้องมองให้ออกว่าในอีก 5 ปี ตลาดจะเป็นอย่างไร แล้วพัฒนาตัวเองไปสู่จุดนั้น
การเปิดตลาด โดยมีตัวช่วย เช่นหน่วยงานของรัฐ ช่วยใช้ในการเปิดประตูได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี Corruption แม้แต่บาทเดียว ถ้าคุณรู้จักไทย ผมบินไป Bahrain 3 ครั้ง ลงนามเซ็นต์สัญญา ตั้งคลังสำรองอาหาร ที่จะขายข้าวได้ปีละ 35,000 ล้านบาททุกปีของประเทศไทย ลงนามเสร็จปีต่อมาไม่ได้ทำ เพราะเปลี่ยนรัฐบาล และไม่ยอมทำต่อเนื่องเพราะไม่ใช่นโยบายเค้า
หากคุณทำธุรกิจ “การมีเป้าหมายที่ชัดเจน ยุทธศาสตร์ต้องชัด มองไปสู่อนาคตให้ชัด คุณไม่มีทาง Fail โดยหลักสำคัญการมี “Strategic Investment ใน Strategic Market” เป็นเรื่องใหญที่สำคัญมาก”
“ศาสตร์และศิลป์ของการเจรจา” เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเขียนป็นตำราไทย ที่มีทั้งทฤษฎี และ Case Study ที่เราทำจริง เราสามารถเปิดตลาดใหม่จากการเจรจามามากกว่า 150,000 ล้านบาทด้วยการเจาจรเท่านั้น เช่น ใครจะคิดว่า Brazil จะซื้อรถตุ๊กตุ๊ก บินไปแต่ละครั้งแม้จะไกล แต่ได้รายได้กลับประเทศ 800 ล้าน เราก็ว่าคุ้ม หรือตลาดสิ่งทอใน Mexico ที่เราคิดว่าแข่งกับจีนไม่ได้ แต่จริงๆ รัฐบาลเค้า ก็ไม่อยากพึ่งประเทศใดที่เดียว ตลาดเช่นนี้มีทั่วโลก เพียงแต่เราต้องลงให้ลึกพอ
ประเทศไทย ยังไม่เคยมีนโยบาย “ที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ” นโยบายที่ดี คือนโยบายที่ใช้เงินน้อย แต่ได้ผลเยอะ ตัวอย่างสองนโยบาย ที่ผมอยากแบ่งปัน คือ “นโยบายการลงทุนในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างมีนัยสำคัฐ” ประเทศที่ก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีมากๆ จะมีเงินลงทุนในด้านนี้ราว 3% ของ GDP (70% มาจากรัฐบาล) ส่วนประเทศไทยลงทุนราว 0.28%, เกาหลี ลงทุนเกิน 1% แล้ว ผมเคยตั้งไว้ประเทศไทยควรลงทุนด้านนี้ไม่น้อยกว่า 2% ภายใน 3 ปี และไม่น้อยกว่า 3% ภายใน 5 ปี และที่สำคัญต้องลงทุนโดยรัฐเป็นส่วนใหญ่
“นโยบายการสร้างกลุ่ม Cluster ตามศักยภาพตามธรรมชาติของกลุ่มจังหวัด” เราสามารถมี Cluster กลุ่มปาล์ม ยาง ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การค้าชายแดน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และอื่นๆ ที่เป็น Cluster ทางธรรมชาติ และสามารถพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยใช้แรงจูงใจทางภาษีที่พัฒนาได้เลยและใช้เงินน้อย เช่น อีสาน สามารถเป็นศูนย์กลางทางการค้าชายแดนและการเงินของ South East Asia ได้เลย และ มีอีกหลายจังหวัดเป็นศูนย์กลางของจีนตอนใต้ได้ เราสามารถจัดเขตเศรษฐกิจพิเศษข้าวหอมมะลิ กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถ้าทำได้จริงราคาขึ้นไปได้อีกเยอะ เช่น ศรีสะเกษ ได้นำแนวคิดเช่นนี้เริ่มนำไปทำจริงแล้ว
ประเทศไทย มี Good Idea อีกเยอะ แต่ไม่ได้เกิดเอาไป Implementation หรือ Bad Implementation ทำให้เสียโอกาสมากจริงๆ
ประเทศไทย มี SMEs เยอะมาก เกิดง่าย แต่ตายง่ายมาก เรามี SMEs Bank และ EXIM Bank ที่ต้องมาสนับสนุน SMEs จริงจัง ที่ควรทำให้เงินหมื่นล้านที่มี สร้างผลประทบให้เป็นแสนล้านได้
ประเทศไทย เราจ่ายค่าพลังงานสูงกว่าที่ควรจะจ่าย ทั้งก๊าซธรรมชาติและอื่นๆ เพราะโครงสร้างผิดหมด เราสามารถลดราคาตรงนี้ได้ ซึ่งคือการเพิ่มรายได้ทันที
ประเทศไทย มีส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงเกินไป คือราว 7% ซึ่งค่าเฉลี่ยขอบ Asia Pacific ต่ำที่สุดคือ 1.8% จีนอยู่ราว 4% รัฐบาลไทย เป็นเจ้าของธนาคารรัฐอยู่ 6 ธนาคาร เริ่มได้เลย นำร่องเลย
อยากฝากอะไรถึงเพื่อนๆ และกัลยาณมิตรบ้าง
ในสถานการณ์เช่นนี้ อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ – ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และให้ใช้หลัก “Hope for the best, prepare for the worst.” เรารู้ว่าเศรษฐกิจโลกจะกระทบมาก อัตราแลกเปลี่ยนกระทบมาก อัตราการเกิดสงครามรุนแรงอาจจะน้อย แต่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน เราต้องเตรียมพร้อมในการยืนระยะของเราให้ยาวนานที่สุด ในทุกสถานการณ์ โดยส่วนตัว ผมลดต้นทุนทุกอย่างในโลกนี้ ด้วยการหาตลาดใหม่ ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ และใช้ต้นทุนที่น้อยที่สุด แต่เดินอย่างมียุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดเช่นกัน
คุณวีระศักดิ์ ฟูตระกูล
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีต เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

“Role Model ของ Trump โจทย์ทางการเงิน และการมือง เบื้องหลังนโยบาย”
ก่อนจะไปถึงวิธีการว่าจะเจรจากับ Trump อย่างไร เราต้องเข้าใจ Trump และ USA ให้ชัดขึ้น ทำไม Trump ถึงประกาศจะยึดเอา คลองปานามา Green Land จากเดนมาร์ค และ Canada มาเป็นรัฐหนึ่งของ USA ต้องย้อนกลับไปดูว่า Role Model และประธานาธิบดีที่ Trump ชื่นชมมากคือ “William McKinley” คือประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1897–1901 ก่อนจะถูกลอบสังหารในช่วงต้นวาระที่สองของเขา ซึ่งเป็นประธานาธิบดีผู้ส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ และเริ่มต้นยุคจักรวรรดินิยมของสหรัฐฯ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะผู้นำที่ขยายอำนาจของอเมริกาสู่เวทีโลก ซึ่งมีนโยบายสอดคล้องกับ Trump มากคือ นโยบายเศรษฐกิจแบบคุ้มครอง (Protectionist) McKinley สนับสนุนภาษีนำเข้าสูง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนอยู่ใน "McKinley Tariff" ปี 1890 แม้เป็นช่วงก่อนที่เขาเป็นประธานาธิบดี แต่แสดงให้เห็นแนวทางของเขา
ชัยชนะในสงครามสหรัฐ-สเปน (Spanish-American War)ในปี 1898 ภายใต้การนำของ McKinley สหรัฐอเมริกาเอาชนะสเปนและยึดครองดินแดนหลายแห่ง เช่น ฟิลิปปินส์, กวม, เปอร์โตริโก และทำให้คิวบาได้รับเอกราชจากสเปน — ถือเป็นการเริ่มต้นยุคจักรวรรดินิยมของสหรัฐฯ
McKinley การขยายบทบาทของสหรัฐฯ บนเวทีโลกแม้จะไม่ได้เป็นผู้วางรากฐานโดยตรงเหมือน Theodore Roosevelt ที่มาภายหลัง แต่ McKinley เป็นจุดเริ่มต้นของการที่อเมริกาเริ่มเข้าไปมีบทบาทในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
จน McKinley ถูกจดจำผ่านชื่อภูเขาสูงสุดของทวีป คือภูเขา “McKinley Mountain” ซึ่งเดิมมีชื่อของชาวพื้นเมืองอะลาสกา ว่า “Denali” แปลว่า "The High One” ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งอยู่ในรัฐอลาสกา ในปี 1896 มีผู้เสนอให้ตั้งชื่อภูเขานี้ว่า "Mount McKinley" เพื่อเป็นเกียรติแก่ McKinley ผู้สมัครประธานาธิบดีในขณะนั้น (ก่อนเขาได้ดำรงตำแหน่ง ชื่อนี้กลายเป็นชื่อทางการตามการรับรองของรัฐบาลกลางในปี 1917
แต่ในปี 2015 รัฐบาลภายใต้ ประธานาธิบดี Barack Obama ประกาศเปลี่ยนชื่อภูเขานี้กลับไปเป็น Denali ตามคำเรียกดั้งเดิมของชนพื้นเมือง ซึ่ง Trump วิจารณ์การเปลี่ยนชื่อว่าไม่ให้เกียรติ McKinley และเขาเคยกล่าวว่า “เราจะเปลี่ยนชื่อกลับเป็น McKinley” เพื่อเป็นการยกย่องอดีตประธานาธิบดีที่เขามองว่ามีคุณูปการต่อประเทศมาก ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ทำจะมีนโยบายเช่นนี้ ตาม Role Model ของเค้า
“โจทย์ทางการเงินของสหรัฐ ที่ Trump ให้ความสำคัญ”

“ทำอย่างไรให้เราสามารถแก้ปัญหาหนี้ของสหรัฐได้ โดยเศรษฐกิจของสหรัฐไม่ถดถอย” คือสิ่งที่ Trump ตั้งคำถามกับ Advisor หลายคนของเค้า และได้รับการแนะนำให้ใช้ "Tariffs" ไม่ใช่เพียงเพื่อ “ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ” แต่เป็น เครื่องต่อรองเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้ประเทศคู่ค้าทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ ซึ่งมีแนวคิด "Strategic Protectionism" เชื่อว่าการค้าเสรีแบบดั้งเดิมทำร้ายแรงงานอเมริกัน ผลักดัน “Buy American” และการฟื้นฟูการผลิตในประเทศ และต่อต้าน WTO และกฎการค้าเสรีที่สหรัฐเสียเปรียบ
ณ เดือนพฤษภาคม 2025 สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะรวมประมาณ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น ประมาณ 122% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หนี้นี้ประกอบด้วยหนี้ที่ถือโดยสาธารณะและหนี้ภายในรัฐบาล เช่น กองทุนประกันสังคม
นโยบายภาษีของ Trump โดยเฉพาะ Tariff คาดการณ์ว่าจะเก็บภาษีได้ปีละ 600,000 ล้านล้าน 10 ปี จะได้ราว 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้
“โจทย์ทางการเมือง ที่ Trump ต้องการคุมฐานเสียงให้พรรคไปอีกนานเท่านาน”
ยิ่งกว่านั้นพรรค Republican มีกลุ่มฐานเสียงอุตสาหกรรมในหลายรัฐทั่วประเทศ ถ้า Trump ดันนโยบายให้อุตสาหกรรมในประเทศเติบโตได้ นั่นหมายความว่าพรรค Republican จะเป็นผู้สามารถคุมฐานเสียงของฝั่งอุตสาหกรรมไปได้อีกนับทศวรรษ
เราต้องมองว่าเค้าต้องการอะไรจากเรา ซึ่ง USA ยังต้องการเรื่องความมั่นคงจากเรา ตอนสมัยที่บ้านเรามีการปฏิวัติ และเค้าก็มี Good Impression กับเรา หลังจากการปฏิวัติครั้งแรกของประเทศไทย (สมัยนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้มีคำสั่งจากองค์การนานาชาติมาว่า ให้หลีกเลี่ยงในการมีปฎิสัมพันธ์กับไทย แต่เราก็มีกลยุทธ์ว่าจะทำอย่างไรให้สหรัฐมีท่าทีที่ดีกับเรา เราก็ใช้ Lobbyist โทรหาประธานของ Shevron ให้ช่วยเจรจาและแสดงถึงความกังวลของเรา ทำให้ Cheney มีการออกคำสั่งยกเลิกคำสั่ง ที่ไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์กับเรา นั่นจึงเป็นที่มาในการเกิดภาพของประธานาธิบดีของสหรัฐ และไทยมีปฏิสัมพันธ์กันได้ Trump เป็นพวกให้ความสำคัญกับ Transactional คือ “หมูไป ไก่มา” ดังนั้น ถ้าเรามีข้อเสนอที่น่าพอใจ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่สามารถเจรจาได้

ส่ิงที่น่าสนใจ คือ
ประเด็นที่ 1: เราจำเป็นต้องไปเจรจา เพื่อรักษาไมตรี เพราะอย่างไรสหรัฐก็เป็นมหาอำนาจ แต่อย่าพึ่งเพียงตลาดสหรัฐในการส่งออก เพราะตลาดสหรัฐมากก็จริง แต่ก็เพียง 18% ของมูลค่าการส่งออก ซึ่งไทยคงไม่เสียไปทั้งหมด “การค้าขาย ระหว่างประเทศ ASEAN ด้วยกันเอง” คือส่ิงที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญ ทำอย่างไร เราจึงจะลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐได้
ประเด็นที่ 2: รอดู Mid-Term Election ในธันวาคม 2526: Republican จะยังคงครองเสียงข้างมากในสภาฯ ได้รึไม่ มีโอกาสมากที่จะผลิกขั้วกลับมาเป็น Democrat ก็เป็นได้
ประเด็นที่ 3: ควรเปลี่ยนวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาส “กลับมา Restructure มาสร้างความเข้มแข็ง ภายในของเราเอง” มาวางแผน เราจะเป็น Digital Economy หรือเราจะเป็น “Green Giant” ของโลกนี้ เพราะนี่เป็นจุดแข็งของเรา เช่นตอนที่ผมเป็นทูต เค้ามีปัญหาว่าว่า นักศึกษาจบใหม่หางานทำไม่ได้ ซึ่งที่ญี่ปุ่นเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเค้าจะกลายเป็น Lost Generation ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำ คือ ให้เทศบาลเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่น จ้างให้นักษึกษาที่จบมาใหม่ ให้ไปเรียนเรื่องการเกษตรกับชาวนา เพื่อให้รู้ปัญหาหลัก และมาต่อยอดในอนาคตได้ เพราะอายุเฉลี่ยของเกษตรกรเดิมในญี่ปุ่นคือ 65 ปี ของไทยเช่นกัน เด็กจบใหม่ในปีนี้จบออกมา อาจตกงานอีกกว่า 400,000 คน ทำอย่างไรให้ชนบทของเรา สามารถเป็นที่ Absorb แรงงาน คนรุ่นใหม่ และแรงงานที่ปลดออกจากกลุ่มงานต่างๆ เราควรใช้เวลาที่อันตรายนี้ ให้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของเราให้ได้
ประเทศไทย เป็นแผ่นดินทอง มีพรอันประเสริฐ ที่ปลูกอะไรก็ขึ้น เราทำอย่างไรให้กลายเป็นพื้นที่สำคัญในการเพาะปลูก ที่สำคัญของโลกได้ เลือก Sector ที่ตรงกับ Strength ของเรา และใช้เวลานี้ในการสร้างความเข้มแข็งได้
หากเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการเกษตร และการค้า ให้ทุนคนรุ่นใหม่ ในการสนับสนุนในการทำงานภาคการเกษตร อาจเป็นอีกโอกาสที่เราควรต้องคิดอย่างจริงจัง
จีนและญี่ปุ่น คือ สองประเทศ ที่ถือไพ่ในการเจรจาเหนือกว่าสหรัฐ เพราะถือพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐ จีนถือราว 700,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าปล่อยขายเมื่อไร ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะขึ้นทันที ซึ่งแปลว่าเศรษฐกิจสหรัฐพัง และไพ่ตายที่สำคัญอีกใบคือ Rare Earth คือกว่า 90% ของ Rare Earth ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาวุธ ทั้งเครื่องบินเจ๊ท เรือดำน้ำ และเทคโนโลยีอื่นๆ ของสหรัฐมาจากจีน แต่ในขณะเดียวกันจีนก็เจ็บ คือหากมีสงครามการค้ากัน ค่าความเสียหายอาจสูงราว 500 Billions US เช่นกัน ดังนั้นมันมีผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ที่ต้องหาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้พังไปทั้งคู่เช่นกัน
คาถาประจำตัว ที่อยากแบ่งปันคือ เวลาเจอสถานการณ์อึมครึม มืดๆ มัวๆ คือ “แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไป” Trump ก็จะผ่านพ้นไป แทนที่จะด่าความมืด เราจุดเทียนให้แสงสว่างกันดีกว่า “Instead of cursing the darkness, light a candle.”
คุณพรพิมล กาญจนลักษณ์
อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้านเมียนมา

Trump ไม่ใช่ Accident เค้าเกิดอย่างมีเหตุผล และถึงเวลาที่เค้าจะต้องเกิดขึ้นมา
สิ่งที่ Trump ทำพยายามทำ 2 สิ่ง
เรื่องแรก Trump ต้องการ Equalize Trade Benefit ของประเทศอย่างน้อย 7% ของ GDP สหรัฐฯ
เรื่องที่สอง Trump ต้องการ Contain จีน ที่ขึ้นมาเร็วมาก ด้วยจีน กับ USA เติบโตโดยใช้วิธีการต่างกัน อุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน หากจีนขึ้นมาได้ ย่อมกระทบถึงความเป็นผู้นำโลกในหลายมิติของ USA อย่างแน่นอน
"Serial Filer" คือ ตัวตนของ Trump
เค้าคือ นักพัฒนาอสังหาที่มีสมญานามว่า "Serial Filer" ไม่ได้เป็นคำชม แต่เป็น คำวิจารณ์หรือสมญานามเชิงลบ ที่ใช้เรียกเขาในฐานะ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เคย ใช้ระบบล้มละลาย (Bankruptcy) หลายครั้ง เพื่อรักษาและรีเซ็ตสถานะทางธุรกิจของตนเอง — โดยเฉพาะในยุค 1980s–1990s
หมายเหตุ: Serial Filer * แปลตรงตัวคือ “ผู้ยื่นฟ้อง (ล้มละลาย) เป็นประจำหลายครั้ง”ในบริบทของ Trump หมายถึงการที่เขาและบริษัทในเครือของเขา ยื่นฟ้องล้มละลายหลายครั้ง เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ป้องกันการถูกยึดทรัพย์ เจรจาหนี้ใหม่กับเจ้าหนี้ และกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวชดใช้ โดย มองว่าการใช้ กฎหมายล้มละลายเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ ไม่ใช่ความล้มเหลว โดย Trump ไม่ได้ยื่นล้มละลาย “ส่วนบุคคล” แต่เป็นการยื่นผ่านบริษัทลูก (corporate bankruptcy) ภายใต้ Chapter 11 ของกฎหมายล้มละลายของสหรัฐฯ เขายื่นล้มละลายทั้งหมด 6 ครั้ง ได้แก่:
1991 – Trump Taj Mahal Casino (Atlantic City)
1992 – Trump Castle Hotel and Casino
1992 – Trump Plaza Casino
2004 – Trump Hotels & Casino Resorts
2009 – Trump Entertainment Resorts
2014 – Trump Entertainment Resorts (อีกครั้ง)

Trump ถูกมองว่าเป็น “Nouveau Riche” หรือกลุ่ม “เงินใหม่"
เพราะเขาร่ำรวยด้วยตัวเอง มีสไตล์การใช้ชีวิตหรูหราแบบแสดงออก และไม่ได้มีรากฐานอยู่ในสังคมชนชั้นสูงแบบดั้งเดิม จึงไม่ถูกรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม “Old Money” (เงินเก่า) ที่ถือคติ “มั่งคั่งอย่างเงียบสงบ มีเกียรติแต่ไม่โอ้อวด” และเค้าเป็นคนชอบพูดปด โกหก กลับกลอกโดยไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
การที่เค้าขึ้นภาษีต่างๆ ที่ทำ มีผลแค่ 1% ของ GDP แต่ Trade Deficit ที่เค้าต้องแก้ คือ 7% ของ GDP ดังนั้นสำหรับ USA แล้วในระยะยาวถือว่าอันตรายมาก
Bretton Woods Conference คือ จุดสำคัญในการจัดระเบียบโลก
คือ การประชุมระหว่างประเทศที่จัดขึ้นในปี 1944 (80 ปีที่แล้ว) ที่เมือง Bretton Woods, รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐฯ มี 44 ประเทศเข้าร่วม โดยเป็นประเทศพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเป้าหมายคือ วางระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่หลังสงคราม เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตแบบยุค Great Depression สิ่งที่ Bretton Wood ทำให้เกิดเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์ 2 อย่าง
เรื่องแรก : การตั้งค่าเงินตราทั่วโลกอิงกับ “ดอลลาร์สหรัฐ” (USD) ทำให้ ดอลลาร์เป็น Trade Currency โดยผูกกับทองคำ สหรัฐจึงกลายเป็น “เสมือนธนาคารกลางของโลก” อย่างไรก็ตามในปี 1971 (Nixon Shock) สหรัฐฯ เลิกค้ำดอลลาร์ด้วยทอง กลายเป็น Fiat Money (เงินกระดาษ) แต่โลกยังคงใช้ดอลลาร์เป็นแกนกลาง แม้ไม่มีทองค้ำ เพราะ เชื่อมั่นในเสถียรภาพและบทบาทผู้นำของสหรัฐ
เรื่องที่สอง : จัดตั้งองค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศใหม่ เช่น: IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และ World Bank (ธนาคารโลก) แต่กฏระเบียบโลกต่างๆ ที่ทุกประเทศร่วมกันตั้งขึ้นมา โดย USA ผลักดัน ไม่ว่าจะเป็น UN, WTO, etc. ปัจจุบัน Trump ฉีกสิ่งนี้ทิ้งทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเราจะกลับไปหา World Order แบบเก่า อาจจะไม่มีทางแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ยากที่สุด และอยากให้เราชาวไทยต้องทำจริงๆ คือ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจ และรูปแบบธุรกิจของเราเอง อย่าไปหวังว่าเราจะไปต่อรองอะไรกับ USA ได้มาก เพราะเราเป็นประเทศเล็ก และ ASEAN ก็ไม่ได้เชื่อมกันแข็งแรงนัก เรารวมประเทศเล็กๆ เพื่อประโยชน์บางอย่าง
เราต้องตระหนักว่า Global Order และ Trade Order ที่ตั้งมากว่า 80 ปี ทั้ง UN, WTO เหล่านี้มันล้าสมัย ถ้าองค์กรเหล่านี้ไม่ปรับตัว ก็จะมีคนมาปรับให้ สิ่งก็คือ “จีน” สิ่งแตกต่างทั้งรูปแบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม การปกครอง การคิดถึงสิทธิมนุษยชน และอื่นๆ
สิ่งที่ USA ทำไม่ใช่บังเอิญ จริงๆ เริ่มทำตั้งแต่ Trump 1.0 แล้ว แต่ตอนนั้นยังสะเปะสะปะอยู่ แต่ตอนนี้ Trump 2.0 เค้ารู้และเห็นแล้วว่าต้องทำอย่างไร ให้แต่ละประเทศต้องยอมมาเจรจา สิ่งที่เราไม่ควรทำเลย คือ การต่อรองโดยยึดตัวเอง เราต้องรู้ว่าเค้าต้องการอะไร ไม่งั้นเค้าก็จะเรียกร้องอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจาก Trump เป็น Transactional President การใช้ Lobbyist ในการให้มี Deal เกิดขึ้นมา ประเทศเรามีคนที่มีความสัมพันธ์ไปถึง Trump อยู่บ้าง ไม่ใช่ไม่มี
เช่นการเข้าผ่านคนอเมริกัน ที่มีภรรยาเป็นคนไทย และมีถิ่นฐานอยู่ที่ Florida และลูกของ Trump ก็มี Deal อยู่ตลาดเวลา ตอนรัฐบาล Trump1 เราได้มีโอกาสไปพักที่ Trump Hotel ก็ไดัเห็นลูกๆ ของ Trump เจรจาทำ Deal ทำธุรกิจ ติดต่อธุรกิจอยู่ตลอดเวลา คนไทยที่ทำธุรกิจด้วยกัน และซื้อของจากลูก Trump ก็มี ไม่ใช่ไม่มี
“ทำไมญี่ปุ่นไปพบกับ Trump ได้คนแรก”
Trump ไม่ชอบคนหงอ ไม่ชอบเลย ถ้าเจอคนแบบนี้ไม่ชอบเลย อย่างตัวอย่างที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปพบ Trump ได้ก็เพราะภรรยาของนนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) นายกรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น 2 สมัย และยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลก และมีบทบาทสำคัญบนเวทีระหว่างประเทศ เพราะเป็นคนกล้าได้ กล้าเสีย กล้าตัดสินใจ ถึงแก่อสัญกรรมจากการถูกลอบยิงในปี 2022 ขณะขึ้นเวทีหาเสียง ดังนั้นญี่ปุ่น ไปหา Trump เป็นคนแรกได้ นากจากใช้คนถูกในการติดต่อประสานแล้ว ยังให้ความสำคัญเพราะญี่ปุ่นรู้ว่าเค้าต้องการอะไร เราต้องเรียนรู้จากเค้า

“สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ คือ หัวใจของการเจรจา”
ตอนที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไปเจอ Trump เป็นอย่างไร?
เราไม่เคยหอบเงินพันล้าน หมื่นล้านไป เพื่อไปซื้อเครื่องบินเค้า เราไม่เคยเลย เราเอาเงินไปแค่ 50,000 เหรียญจากการสนับสนุนของ SCG โดยเราเอาเงินไปขอซื้อถ่านหินจาก USA
Trump เป็นคนไม่ชอบทานข้าวกลางวันกับใครเลย เค้าจะนั่งอยู่แป๊ปเดียว แล้วก็ลุกไปกิน KFC แต่กับลุงตู่ อยู่ด้วยทั้งวันเลย ตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น เพราะรัฐมนตรี ตปท. ของเราทำการบ้านได้ดี และบอกกับทาง USA ว่าที่มานี่มาเพื่อซื้อถ่านหินของ USA ซึ่งเป็นถ่านที่ให้ความร้อนสูงมาก ซึ่ง Trump ดีใจมาก เพราะรัฐที่มีถ่านหิน มีอยู่หลายรัฐ ทั่ว USA และเมื่อมี Order มาก ก็สามารถเชื่อมโยงการผลิตให้กันและกัน ทำให้ Trump ได้ฐานเสียงเพิ่มในหลายรัฐทั่ว USA
แม้กระทั่งตอนที่ PTT ที่ไปลงนามเช็นต์สัญญา ซื้อน้ำมันจาก USA เราได้ไปเซ็นต์ที่ White House เลย Trump เป็นครพาลุงตู่ไปดูทั่ว ไปพบภรรยา ลูก และ Chef ที่ที่เป็นคนไทยในนั้น และด้วยบุคลิกที่เป็นทหารและเป็นคนจริงจัง “ลุงตู่” ก็จะเอามือตบอก และบอกว่า “เรามาด้วยใจ” ทุกคนก็ประทับใจหมด เพราะสุดท้ายไม่ว่าการเจาจาใดๆ ก็ตาม “ถ้าไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจ ก็ไม่มีอะไรดีๆ ที่จะเกิดขึ้นได้”
“Without trust, diplomacy fails before it begins.
❝ หากปราศจากความไว้วางใจ การทูตก็ล้มเหลวก่อนจะเริ่มต้นเสียอีก ❞
— Kofi Annan (อดีตเลขาธิการ UN)
แสดงให้เห็นว่า Trust ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่คือ “เงื่อนไขเริ่มต้น”

Note:
การเจรจาต่างๆ ต้องมีความสมดุล ซึ่งเป็นสิ่งที่ USA ไม่มี ณ เวลานี้
Trump Effect อันตรายมากสำหรับประเทศเล็กๆ อย่างเรา เพราะถือเป็นการฉีกกติกาโลกและไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม ลองสังเกตุประเทศจีน จีนโตมาจาก Multinationalism และ Globalizaton ที่เป็นกติกาหลักของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจีนพยายามเกาะอันนี้ไว้ และเราก็ควรทำเช่นกัน หากเราไม่ปรับตัว หรือไม่รู้ตัว เหมือนดังคำที่ว่า "All the lights are on, but nobody's home.” คือ ภายนอกดูเหมือนปกติ — แต่ข้างในว่างเปล่า ดูเหมือนตื่นตัว มีสติ หรืออยู่ตรงนั้น แต่จริงๆ แล้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเราจะติด Middle Income Trap ไปชั่วกัปชั่วกัลป์
ภาคเอกชน ต้องรู้จักปรับตัว Diversification ต้องหาตลาดใหม่ และตลาดที่กำลังโต คือตลาดที่มีประชากรหนุ่มสาว เช่น ใน GCC และ Eastern Africa มีประชากรรวมกว่า 1,000 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การจะไปตลาดใดๆ เราต้องรู้ว่าเรามีดีอะไร และเค้าอาจต้องการอะไรจากเรา ไม่งั้นเราจะไม่มีทางไปต่อได้

เรียนรู้จากอดีต "กฎหมายสมิธ–คอลลี (Smoot–Hawley Tariff Act)" ปี 1929–1930 (มักเรียกผิดว่า Smith–Colley) เป็นกฎหมายเศรษฐกิจที่มีผลกระทบมหาศาลต่อการค้าระหว่างประเทศและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหญ่ (Great Depression) สาระสำคัญ คือ ขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) กว่าสินค้า 20,000 รายการ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ข้าวสาลี, เนื้อสัตว์, น้ำตาล, ข้าวโพด ฯลฯ มีจุดประสงค์เพื่อ ปกป้องเกษตรกรและอุตสาหกรรมภายในประเทศ จากการแข่งขันต่างชาติที่ถูกกว่า ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิด สงครามการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสหรัฐลดลง และ เร่งให้เกิด Great Depression ซึ้เติม ระบบเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แย่ลงอีก ประวัติศาสตร์จำไว้ว่า: “Smoot–Hawley Tariff” เป็นตัวอย่างคลาสสิกของนโยบายกีดกันทางการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเสียหายยิ่งขึ้น แทนที่จะช่วยประเทศ” แม้มีเจตนาดีต่อ “คนในประเทศ” แต่กลับกระทบหนักต่อ เศรษฐกิจโลก, การค้า, และความเชื่อมั่น เป็นบทเรียนที่นักเศรษฐศาสตร์และนักการทูตทั่วโลกยังใช้อ้างอิงมาจนถึงปัจจุบัน และเปรียบกับ Trump Effect ได้อย่างน่าสนใจ
จากคำพูดของ เหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) ที่มีความหมายว่า “ There’s great chaos under heaven, and the situation is excellent.” หรือ "ภายใต้ความโกลาหลยิ่งใหญ่ในใต้หล้า สถานการณ์กลับยอดเยี่ยม” สถานการณ์เช่นนี้ มีการเปลี่ยนแปลงได้ในทุกระดับจริงๆ
โลกเปลี่ยนไปอย่างมาก “Deep Seek” เป็น Case ที่เราเห็นได้ชัดเจนว่า โลกไม่มีวันจะกลับไปเหมือนเดิม จีนเค้าใช้เงินนิดเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐ ก็สามารถแข่งกันโลกได้ ภัยที่เรากำลังเผชิญ คือ พัฒนาการของ AI และ Syntetic Biology

เราต้องปรับตัวให้ทัน ลึก และเร็ว เรายังไม่จำเป็นต้องคิดว่าเราแข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง ว่าเราพััฒนาตัวเองได้เร็วแค่ไหนเท่านั้นเอง
Trump ได้รับการเลือกตั้งมาจากคนครึ่งนึงในประเทศ แต่อีกครึ่งนึงก็พร้อมโค่นล้มเค้าเช่นกัน ไม่ต่างกับจีน ที่มีปัญหาในประเทศเช่นกัน ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนกัน
แต่สิ่งที่จีนได้เปรียบกว่า คือ คนจีนสามารถ Absorb Pain ได้ดีกว่าคนอเมริกัน
จีนจะไม่มีทางถอยในเกมนี้ เพราะจีนมีบทเรียนในอดีตว่า ถ้าถอยเมื่อไร USA จะยิ่งรุก และจีนจะสูญเสียมากกว่านี้
หาก USA จะได้อะไรจากจีน หมายความว่าจีนต้องได้สิ่งที่จีนต้องการมากที่สุด คือ การยืนยันว่า USA จะไม่สนับสนุนไต้หวัน เป็นประเทศเอกราช ถ้าสิ่งนี้ได้ จีนก็ยอมเจรจาได้ โดยต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดย Area ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันได้ เช่น เรื่อง Climate Change และ อันตรายจาก AI และ Technology ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
IMF แนะนำเป็นอย่างยิ่งประเทศไทย ควรทำ Secondary City (เมืองรอง) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจีนทำได้ดีมาก และจะยิ่งดีขึ้นไปอีก
สิ่งที่เราต้อง คือ มาตรฐาน (Standard) และการ Implementation ของตลาดนั้น SMEs ของไทยเป็น Engine of Growth ถ้าเราไม่สามารถทำ SMEs ให้เข้มแข็งได้ ประเทศเราก็แข็งแรงมั่นคงไม่ได้เช่นกัน
อยากฝากอะไรถึงเพื่อนๆ กัลญาณมิตรบ้าง
ในทุกสถานการณ์ ล้วนมีโอกาสเสมอ เราจะใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ และความผันผวนของโลก ได้อย่างไรบ้าง วันนี้ได้หลายมุมมอง ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีให้เราไปคิดต่อได้
คุณสุขเทพ จันทร์ศรีชวาลา
ผู้ก่อตั้ง TFS: True Friends Society
ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. มิตรแท้ประกันภัย

สมัยก่อนนักธุรกิจในประเทศไทย ไม่เคยคิดพึ่งรัฐบาล ด้วยเรายังเป็นประเทศที่ปิด ยังไม่ได้มีต่างชาติมากนัก จนกระทั่งประเทศไทยเริ่มมี BIBF (Bangkok International Banking Facility) หรือ โครงการส่งเสริมสถานะกรุงเทพมหานครให้เป็นศูนย์การเงินระหว่างประเทศ เป็นนโยบายของรัฐบาลไทยในช่วง ต้นทศวรรษ 1990 ที่มีเป้าหมายเพื่อเปิดเสรีการเงิน และส่งเสริมให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลจึงเริ่มมีบทบาทในการไม่ให้คนไทยเสียเปรียบต่างชาติ ผมเชื่อมั่นว่าธุรกิจไทย คนไทย และประเทศไทย ยังไปต่อได้ และ TFS ก็เป็นที่ๆ ต้องการให้เพื่อนดีๆ มาพบกันเพื่อเติบโตไปด้วยกัน
คุณวิเชฐ ตันติวานิช
ประธานที่ปรึกษา TFS: True Friends Society
ประธานกรรมการ บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น

“Play my game … เล่นเกมของเรา อย่าไปอยู่ในเกมของเค้า”
ถ้าพูดถึงประเทศไทย อาจสรุปได้ว่า เราควรทำสิ่งที่เราเก่ง หากดูประวัติศาสตร์ “คนไทย” เราเก่งที่สุดในการอยู่ข้างคนชนะในทุกยุคสมัย หากเรารู้จักดึงเวลาในการเจรจา ถ่วงเวลาเอาไว้ จนกว่าทุกอย่างจะตกผลึก และระหว่างที่รอการตกผลึกนั้น ก็มาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ มาทำสิ่งที่เป็นจุดแข็ง และโดดเด่นของเราให้เป็นจริง

ผมเป็น Chair man of the board, Thai Air Asia ตอนปีกำไรดีๆ เรากำไรปีละ 3,000 - 4,000 ล้านบาท แต่ตอน Covid เราหนักมากเพราะการบินหยุดไปเลย ในวิกฤตินั้น เราตั้งคำถามสำคัญ 2 คำถามในหมู่ผู้บริหารด้วยกันว่า
คำถามแรก คือ “ Covid จะอยู่ตลอดไปรึเปล่า? ” คำตอบ คือไม่ สักวันมันก็จะหยุดลง
คำถามที่สองคือ “ เมื่อ Covid หายไปแล้ว การเดินทางทางเครื่องบินจะหายไปรึเปล่า? ” คำตอบคือยังต้องมีอยู่ และบินอยู่
ดังนั้น Fact of Life มันยังมีอยู่ เราจึงตัดสินใจยอมขาดทุน 2 ปี รวมกันประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยการไม่คืนเครื่องบิน เช่าต่อ เก็บคนไว้ ไม่ไล่คนออก เทรนคน ต่อรองกับรัฐบาล แะลผู้คนสารพัด โดยเชื่อว่าเมื่อ Covid หายไป เราจะยิ่งใหญ่ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อ Covid หายไป เราเริ่มบินได้อีกครั้ง Market Share ของ Air Asia ขึ้นจากกว่า 30% กลายเป็นกว่า 40% ทันที ใน Next Day เพราะเรามีเครื่องบินครบ บินได้ ด้วยการคืนเครื่องบินใช้เวลา 3 เดือน เอาเครื่องบินคืนมา 18 เดือนยังทำไม่ได้เลย ผมเชื่อว่าในภาวะเช่นนี้ เราต้องฝึกกลั้นหายใจ ดำน้ำ และรักษาใจเราให้เข้มแข็ง มันต้องไปผมเชื่ออย่างนั้น
คุณโอฬาร วีระนนท์
ผู้ร่วมก่อตั้ง TFS: True Friends Society
CEO & Co-founder, DURIAN CORP และ YAK GREEN

Growth Hacking อย่างหนึ่งของชีวิตคือ “ผู้ใหญ่รู้จักเด็กที่มีความรู้ความสามารถ และเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ที่มีความพร้อมในการสนับสนุน ส่งเสริมต่อยอด” ด้วยคนรุ่นใหม่มีเวลา มีพลัง มีไฟผัน ส่วนผู้ใหญ่ มีเครือข่ายมีทรัพยากร มีมุมมองที่ลุ่มลึกและประสบการณ์ TFS เราตั้งใจเป็น Community เล็กๆ ที่ต้องการเชื่อม ให้เพื่อนดีๆ มาเจอกัน ต่อยอดสายสัมพันธ์ กันได้ทุกมิติ และคบกันได้ไปทั้งชีวิต
สรุปไว้เพื่อประโยชน์แก่กัลยาณมิตร โดย
คุณโอฬาร วีระนนท์ (Bom)
ผู้ร่วมก่อตั้ง TFS: True Friends Society
CEO & Co-founder, DURIAN CORP และ YAK GREEN
หมายเหตุ:
True Friends Society (TFS) คือคอมมูนิตี้ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ คุณสุขเทพ จันทร์ศรีชวาลา (ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.มิตรแท้ประกันภัย) และ คุณโอฬาร วีระนนท์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน) โดยได้รับการสนับสนุนจาก คุณวิเชฐ ตันติวานิช (ประธานกรรมการ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น) ซึ่งให้เกียรติ มาเป็นประธานที่ปรึกษาของ TFS ร่วมกันสร้างพื้นที่ของการเรียนรู้และการเติบโตอย่างมีความหมาย ภายใต้แนวคิด Lifelong Learning & Wealth-Life Balance
โดยเริ่มต้นจากเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร ที่ตั้งใจพัฒนาสู่การเป็นเพื่อนแท้ ที่คบกันไปทั้งชีวิต และค่อยๆ ขยายแบบมีคุณภาพ ค่อยเป็นค่อยไป โดยได้จัดกิจกรรม Open House ไปครั้งแรกในวันที่ 19 มีนาคม 2568 ณ Lancaster Bangkok โดยมี คุณชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีคนที่ 20 ของประเทศไทย มาแบ่งปันในหัวข้อ “เพื่อนแท้” และเชิญเพื่อนแท้ของเราได้แก่ คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ Minister of the Year 2010, Global and Asia Pacific และ คุณญาณวุฒิ จรรยหาญ เจ้าของเพจ “พี่เอ็ด 7 วิ” แบ่งปันในหัวข้อ “True Friend Sharing : สมดุลชีวิต - มิตรภาพ - ความสำเร็จ” ซึ่ง TFS จะจัดกิจกรรมดีๆ ในทุกๆ เดือน โดยจะเชิญเหล่าวิทยากร ผู้รู้ นักปราชญ์ ตลอดจนผู้มีประสบการณ์จริง ในเรื่องนั้นๆ มาร่วมแบ่งปันให้เหล่าเพื่อนแท้ใน TFS เพื่อให้เพื่อนๆ ประสบความสำเร็จ และมีความสุขในทุกช่วงชีวิต ทั้งเรื่องความมั่งคั่ง (Wealth) และการใช้ชีวิต (Life) อย่างสมดุล (Balance) ร่วมกัน TFS : รู้ก่อน ปรับทัน ตัดสินใจแม่นยำ ในยุค Donald Trump คือ กิจกรรมประจำเดือนพฤษภาคมของ TFS นั่นเอง
---
แชร์โพสต์นี้ต่อให้เพื่อนที่คุณห่วงใย
เพื่อให้พวกเขา “รู้ก่อน ปรับทัน และตัดสินใจแม่นยำ”
ในโลกยุคใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป







Comments