top of page

พี่ติ๊ก วาสนา (วีระนนท์) อริยพงศ์ไพศาล พี่สาวที่เปรียบดังแม่คนที่สอง

Writer's picture: BomOlarnBomOlarn

บอม โอฬาร วีระนนท์ และ พี่ติ๊ก วาสนา (วีระนนท์) อริยพงศ์ไพศาล พี่สาวที่เปรียบดังแม่คนที่สอง

จริงๆ ในวันเกิดของเรา เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เราได้มีโอกาสทบทวนเรื่องราวหลากหลาย ในชีวิต วันเกิดปีนี้ก็เช่นกัน ขอบคุณคำอวยพรมากมาย ที่มาจากหลายหลายช่องทาง ขอบคุณภาพแห่งความส่งจำ ที่ถูกส่งมาพร้อมกับคำอวยพรวันเกิดจากบุคคลอันเป็นที่รัก ทั้งเรารัก รักเรา จากเพื่อนฝูง พี่น้อง และกัลยาณมิตร ที่มาจากหลายห้วงมิติของเวลาและบทบาทที่เราได้พบกัน ภาพนี้ก็เช่นกัน ถูกส่งมาจากน้องชายแท้ๆ “แบงค์ จตุรวิทย์ (อภิวัฒน์) วีระนนท์” Bank Krab พร้อมคำอวยพร ที่ทำให้ได้นึกเรื่องราวต่างๆ ในอดีตมากมาย ที่เรามีความทรงจำกับพี่สาวคนนี้


“พี่ติ๊ก Mamasof Ari เป็นพี่สาวแท้ๆ ที่ผมบอกได้ว่า ถ้าไม่มีพี่ติ๊ก ชีวิตผมก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน”

คุณพ่อเบิ้ม เอกศักดิ์ วีระนนท์ คือ คุณพ่อของพวกเรา เป็นหนุ่มหล่อ นักเรียนนอก จากเยอรมัน เนื้อหอม รูปหล่อ ใจถึงพึ่งได้ เป็นลูกของคุณปู่ “กังวาน วีระนนท์” ที่หลายคนรู้จักในนามของเจ้าพ่อบางนกแขวก ที่เชื้อสายตรงของตระกูลนี้จะมี Character ที่ชัดเจน ในความใจนักเลง ใจถึง พึ่งได้ ไม่กลัวใคร ไม่โกงคน ไม่รังแกใครก่อน ไม่ยอมแพ้ มีความภาคภูมิใจในตัวเอง รักพี่ รักน้อง และมีความภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูล และถ้าใครให้ใจมา พร้อมให้กลับแบบถึงไหนถึงกันจริงๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดมาเสมอ ทั้งจากการกระทำที่เราได้เห็นในวัยเด็ก และความทรงจำที่คุณพ่อมักถ่ายทอดให้เราเสมอ


“พ่อเดียวกัน คนละแม่ อยู่คนละฝากฟ้า แต่หัวใจไม่เคยมีคำว่า ไม่รักกัน”

คุณพ่อ มีลูกทั้งหมด 7 คน พี่ติ๊กและพี่ตา เป็นลูกพ่อเบิ้มกับแม่ปุก ซึ่งหลังจากคุณพ่อเลิกกับแม่ปุก ทั้งพี่ติ๊ก และพี่ตา ก็ไปใช้ชีวิตที่ U.S.A. ตั้งแต่วัยรุ่น และเติบโตมาอย่างแข็งแกร่งสมตระกูล ส่วนคุณพ่อ ก็มาแต่งงานกับแม่ปุ่น ลูกสาวกำนันขวัก กำนันชื่อดังแห่งมหาชัย และมีลูก 5 คน คือ พี่ยุ้ย พี่ยิ้ม บอม แบงค์ และเบนซ์ ด้วยตระกูลวีระนนท์ เป็นเชื้อสายคนจีน ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ลูกๆ ทุกคนจึงถูกส่งเรียนโรงเรียนชั้นนำที่พ่อค้า ชาวจีนมักจะส่งลูกหลานเรียนกัน คือ อัสสัมชัญ และเซนต์โยเชฟ ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ คุณอา พวกเราทุกคนก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน และคุณพ่อ คุณแม่ ก็ปลูกฝังเสมอว่าเราทุกคน คือพี่น้องกัน ไม่แบ่งว่าใคร แม่ไหน แต่ทุกคนคือ “วีระนนท์” คือลูกพ่อเบิ้มเหมือนกัน และเราก็รักและเคารพพี่ติ๊ก พี่ตาเช่นนั้นตั้งแต่เด็ก


“จักรยานเสือภูเขา คันแรกๆ ในประเทศไทย และเครื่องเกม Famicom ที่น้อยคนนักจะมี ก็ได้จากพี่ติ๊ก”

จำได้ว่าตอนเด็กๆ อายุราวๆ 10 ขวบ (ราว ป.4) พี่ติ๊กมาเมืองไทย เพราะต้องมางานศพพี่ตา ที่เสียจากอุบัติเหตุที่ USA แล้วกลับมาทำพิธีที่เมืองไทย ถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เจอพี่ติ๊ก และจำความได้ ตอนนั้นพี่ติ๊กถามว่าอยากได้อะไร เราบอกว่าอยากได้เครื่องเกม Famicom (สมัยนั้นเรียกแฟมิลี่) เพิ่งเข้ามาไทยไม่นานนัก พี่ติ๊กเลยพาไปเดินห้าง December ที่ ถ.ศรีนครินทร์ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโรงแรม เมเปิ้ล หรืออะไรสักอย่างไปแล้ว ยังจำราคาได้เลยว่า 3 พันกว่าบาท (รวมเกมและแผ่นอื่นๆ) ราคาราวปี 2533 ซึ่งถือว่าแพงมาก จนพี่ติ๊กชวนอาน้อยมาหารด้วยกัน (ราคาทองคำบาทละ 4 พันกว่าๆ) มีเกม Contra, Mario, Tetris และเกมพวก 30 in One มาเล่นกับเพื่อนๆ เรียกว่าโก้หรู เล่มเกมแบบไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ได้เกมใดๆ มา จะเล่นจน Clear กว่าจะเลิก (น่าจะเป็นที่มาของนิสัยไม่ยอมแพ้จนทุกวันนี้)


แถมพอพี่ติ๊กจะกลับเห็นว่าเราชอบจักรยาน แต่ที่เมืองไทย มีแต่จักรยานทั่วไป พี่ติ๊ก เห็นว่าเราห้าวๆ นักเลง น่าจะชอบปั่นลุยๆ เลยบอกว่าเดี๋ยวกลับไปอเมริกา จะซื้อจักรยานเสือภูเขา แบบมีเกียร์ส่งทางเรือมาให้ ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่รู้ว่าถ้าพี่ติ๊กบอกว่าดี คือ ดีแน่ๆ กลับไปไม่กี่เดือน ก็มีจักรยานส่งมาถึงที่บ้าน จำได้ว่าเปิดมาตื่นเต้นมาก เพราะรอมานาน และคันใหญ่มากๆ ถ้าเทียบกับขนาดตัวเราในสมัยนั้น แต่ด้วยที่สมัยนั้นน้อยคนจะมีจักรยานแบบมีเกียร์ เลยต้องไปหาร้านจักรยานหลายร้าน กว่าจะประกอบได้ พอประกอบเสร็จเรียกว่าโก้หร่าน (เท่ห์มาก) ใช้ขี่ร่อนไปทั่วทั้งซอยแบริ่ง บางนา สำโรง ไปทุกย่านแถวสมุทรปราการเรียกว่าเป็นแก๊งค์เหมือนหนัง “แฟนฉัน” เลย ดังนั้นต้องบอกว่าพี่ติ๊ก คือพี่ที่สนับสนุนมาตั้งแต่อายุยังช่วง 10 ปีแรกของชีวิตจริงๆ และคุณพ่อ คุณแม่ก็มีความสุขมากๆ ที่ลูกๆ รักกัน


“ชีวิตพลิกเมื่อคุณพ่อเสีย ตั้งแต่อายุ 48 และผมอายุในเวลานั้นเพียง 12 ปี”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ยังเล็ก “ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน” และการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ต้องพบเจอเสมอ จากชีวิตที่สุขสบายในวัยเด็ก คุณพ่อซึ่งเป็นทั้งต้นแบบที่แข็งแกร่ง เป็นเสาหลักของครอบครัวได้เสียไปในวันเพียง 48 ปี หลังจากป่วยหนักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเปาโล อยู่นานหลายเดือน และไม่มีประกันชีวิต ทำให้ต้องขายทรัพย์สินในการรักษาคุณพ่อไปแทบทั้งหมด หลังจากคุณพ่อเสียจึงทำให้ฐานะทางบ้านเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กอัสสัมชัญ และเซนต์โยเซฟ ที่มีฐานะดี กลายเป็นเด็กที่ต้องขอทุนขาดแคลนในการเรียนหนังสือ คุณแม่ ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่ง ณ วันนั้นคุณแม่อายุราว 42 ปี เท่าผม ณ เวลานี้ แต่มีลูก 5 คน พี่ยุ้ยอายุ 17 ปี พี่ยิ้มอายุ 15 ปี ผม(บอม โอฬาร)อายุ 12 แบงค์อายุ 10 ปี และเบนซ์อายุ 9 ขวบ ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกว่าคุณแม่นี่สุดยอดจริงๆ


“ชีวิตรอดมาได้ ด้วยบุญคุณมากมาย จากผู้คนหลากหลายจริงๆ”

พี่ติ๊ก ณ เวลานั้นก็อายุราว 30 ปี แต่งงานกับอาเหลา อริยพงศ์ไพศาล มาหลายปี มีลูกสาวน่ารักต้องดูแล แต่ห่วงใยน้องๆ เสมอ ในวัยเด็กพี่ติ๊ก อาน้อย และอาๆ พยายามช่วยสนับสนุนทางบ้านเราตามกำลัง เคยคิดอยากจะนำที่ดิน ที่บ้านแบริ่ง (ซอย ทร.2 หรือแบริ่ง 50) มาทำ Apartment เพื่อมีค่าเช่าในการดูแลส่งเสียค่าเล่าเรียน แต่ด้วยภาระของแต่ละคนที่ต่างกันไป และปัจจัยหลากหลายโครงการจึงพับไป ทำให้เราแต่ละคนต้องดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ ในขณะเดียวกันคุณแม่ก็ต้องใช้ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว ในการดูแลลูกๆ 5 คน ไม่แต่งงานใหม่ รักคุณพ่อเพียงคนเดียวมาตลอดชีวิต แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เรามีปัญหา ลำบากจนทนไม่ไหว หรือสิ้นไร้หนทางจริงๆ สายสุดท้าย ที่ผมเลือกจะโทรหาคือ “พี่ติ๊ก อาทอม และอาน้อย Jatana Weranontbuddy” ซึ่งตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักครั้งเดียว ที่พี่ติ๊ก และอาน้อย จะปฏิเสธ ความช่วยเหลือหากหลานๆ ร้องขอ และยังเป็นเช่นนั้นเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ (แม้ผมจะไม่ได้ขอมานานมากแล้วก็ตาม )


“สำหรับผม หากถามว่าแม่คนที่สองคือใคร ตอบเต็มปากได้ว่าคือพี่ติ๊ก ส่วนพ่อคนที่สอง ก็คือ อาน้อย”

วันเกิดปีนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นวันดีๆ ได้ทั้งคำอวยพรดีๆ จากผู้คนมากมาย ได้รับของขวัญเป็นกุญแจรถที่หายไป โดยพี่ติ๊ก กมลรัตน์ เมย์ และโอม ช่วยกันบนบาน จนหาเจอได้แบบมหัศจรรย์ ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกับคนรัก


ได้โทรหาคุณแม่ ได้เลี้ยงข้าวหลานๆ ได้เริ่มต้นดูแลร่างกายอย่างตั้งใจ สำหรับผมสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่ได้มาจนทำให้เรามีวันนี้ มันก่อให้เกิดเป็นความตั้งใจดีๆ ที่ทำให้เรามีทั้งพลังและแรงขับในใจในการอยากส่งมอบสิ่งดีๆ ต่อออกไป ให้สร้างแรงกระเพื่อมดีๆ ใหญ่ๆ ให้คนมากมาย ให้คุ้มค่ากับการที่เกิดมาชีวิตหนึ่ง


และถ้าใครๆ ถามว่า เราทำแบบนั้นได้อย่างไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ผมจะตอบด้วยความภาคภูมิใจเสมอ ว่าผมชื่อ “บอม โอฬาร วีระนนท์” ลูกพ่อเบิ้ม แม่ปุ่น น้องพี่ติ๊ก หลานอาน้อย หลานปู่กังวาน หลานกำนันขวัก กำนันฉาย เป็นคนตัวเล็กๆ ที่เติบโตมาได้ด้วยการช่วยเหลือของผู้คนมากมาย และตั้งใจทำความดีตามรอยพ่อหลวง ร.9 ในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แผ่นดินไทย และโลกใบนี้อย่างดีที่สุด และตั้งใจจะทำเช่นนี้ตลอดชั่วชีวิตนี้จริงๆ

ขอบคุณที่รักกัน

บันทึกไว้หลังวันเกิดปีที่ 42

ปล.รูปด้านบน น่าจะถ่ายราว 20 ปีที่แล้ว ตอนที่เราทั้งคู่ยังผอมกว่านี้มาก


บอม โอฬาร วีระนนท์

- CEO and Co-founder, DURIAN

- CEO and Co-founder, Yak Green (ยักษ์เขียว)



Comments


Contact

DURIAN CORPORATION COMPANY LIMITED

87/35 SOI SUKHUMVIT 63 (EKKAMAI),

NORTH KLONG TAN, WATTANA, BANGKOK 10110

Mobile : 097-197-8945, 099-151-9456

Email :​​ coacholarn@gmail.com​ , BomOlarn@duriancorp.com

  • Black Facebook Icon
  • Black YouTube Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon

Thanks for submitting!

© 2022 by Olarn Weranond : Knowledge is Power, Truth make Confidence.

bottom of page