สำหรับท่านที่อยากอ่านตอนแรก (1/2) ที่จะกล่าวถึงประวัติท่านโดยสังเขป ความสัมพันธ์ และการก่อตั้งหลักสูตร 2morrow Scaler ที่พี่ประจวบเป็นประธานที่ปรึกษาฯ สามารถติดตามได้ที่ Link ด้านล่างครับ
“ถอดความคิด พี่ประจวบ ไชยสาส์น ช้างดำแห่งอีสาน ตำนานการเมือง”
หลักสูตร 2morrow Scaler ของเรา จะมีธรรมเนียมในวันเปิดหลักสูตร ที่จะให้ผู้เข้ามาเรียนรู้ถึงความตั้งใจของการสร้างหลักสูตร และการตั้งใจทำ Project ในการ Scale อีสาน ซึ่งพี่ประจวบ ไชยสาส์น ได้ให้เกียรติ ในการแนะนำในเรื่องนี้เองด้วยตัวเองในทุกรุ่นทั้งรุ่น 1-3 แม้กระทั่งในวันเปิด 2morrow Scaler รุ่น 4 ที่ท่านต้องเริ่มรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็ยังมีความประสงค์ในการให้บันทึกเทป เพื่อพูดให้เหล่า Scaler ได้ฟัง ซึ่งผมเคยได้เรียบเรียงการแบ่งปันประสบการณ์ล้ำค่า ของคุณพ่อประจวบ ในวันเปิดหลักสูตร 2morrow Scaler รุ่นที่สอง เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา
จึงขอนำประสบการณ์ล้ำค่าของ “ประจวบ ไชยสาส์น” อดีตรัฐมนตรี 6 กระทรวง ที่มาเปิดเผยเรื่องราว เพื่อเป็นวิทยาทาน ส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ “ในการ Scale ชีวิต และขยายกรอบความคิดเพื่อสังคม" ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจอ่านและนำไปใช้ และหากการแบ่งปันนี้มีประโยชน์ใดๆ ขอกุศลผลบุญทั้งหมดจงส่งไปให้แก่ คุณพ่อประจวบ ไชยสาส์น ทั้งหมดด้วยเทอญ
========================
แบ่งปันโดย : คุณประจวบ ไชยสาส์น ประธานที่ปรึกษา หลักสูตร 2morrow Scaler
เมื่อวันที่ : 26 กันยายน 2561 ณ C asean center แก่ผู้บริหารที่เข้าร่วมหลักสูตร 2morrow Scaler รุ่นที่ 2
เรียบเรียงโดย : โอฬาร วีระนนท์
“ 40 กม. คือ ระยะทางเดินเท้า จากโรงเรียนกลับบ้านทุกสัปดาห์ ”
ตอนสมัยเด็กที่บ้านทำนา ไม่มีเงินมากนัก สมัยเรียนต้องเดินเท้า จากโรงเรียนกลับบ้านราว 40 กม.ในทุกวันศุกร์ ถือเป็นการฝึกฝนตนเองและทำให้เป็นคุณค่าของการเรียน
“ ขยัน กตัญญู ผูกผันทั้งอีสานและเวียดนาม ”
ผมเป็นคนอีสาน ที่สมัยเด็กๆ มีโอกาสกินนมจากเต้าของแม่ลูกอ่อนชาวเวียดนามมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผูกพันกับทั้งชาวอีสานและเวียดนาม เมื่อมีโอกาสจึงอยากตอบแทนคุณ จึงต่อยอดทั้งการพัฒนาธุรกิจการค้าและสายสัมพันธ์ต่อมาในอนาคต ทั้งธุรกิจที่ทำก็จะเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนด้วย
“ แรงขับจากการโดนดูถูก และ อยากพิสูจน์ตัวเองจึงตั้งใจเรียน ”
ด้วยความที่ยากจน ทำให้เราต้องขยัน ในวัยเด็กเราทำงานทุกอย่าง ทั้งเด็กเชียร์บาร์รำวง มีเวลาเพิ่มก็ไปถีบสามล้อหาเงิน จนวันหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต คือ ขับสามล้อชนกับเพื่อนในตลาด แล้วชกกัน
จนมีครูท่านนึงมาพบแล้วพูดจาท้าทายว่า “ถ้าคนอย่างเราเรียนจบ ม.6 ได้ ครูจะเอาหัวเดินต่างเท้าให้ดู” จึงเก็บเสื้อผ้ามาเรียนในกรุงเทพ
เรียนไปทำงานไป ขยัน กล้าเรียนรู้ และชอบภาษาอังกฤษ เจอฝรั่งก็ชอบไปคุย ทำให้เก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้อยากจะบอกว่าใครจะว่าเราอย่างไรไม่เป็นไร เรามีหน้าที่พิสูจน์ตนเองให้เห็นว่าเราเป็นได้มากกว่าที่ใครๆ คิด
“ เรียนไปทำงานไป ขับรถส่งของ เห็นโอกาส เริ่มสร้างธุรกิจ ”
เริ่มเข้าเรียน มศ.4 (มัธยมศึกษาปีที่4) ที่โรงเรียน วรรธณศิน เรียนได้หนึ่งปี ก็ไปเรียนต่อที่สมาคมโรงเรียนราษฏ์ (รรร.) ด้วยแรงบันดาลใจ อยากพิสูจน์ตัวเอง เรียนไปทำงานไปอยู่ 2 ปี จนสามารถเข้าเรียนที่ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ได้
สมัยเรียนปริญญาตรี ผมทำหน้าที่เหมือน Line Man ทำงานกับส่งของให้ร้านทอง “ตั้งกิมเฮง” ที่เยาวราช วันๆ ต้องไปส่งของ 300 - 400 แห่ง ทำเช่นนี้มาตลอด เริ่มเห็นโอกาสจากการสังเกตว่าในฤดูหนาวคนที่เยาวราชเยอะมาก ผมก็รับเสื้อหนาวมาขายหน้าร้านทองทุกร้านในเยาวราช เหมาเช่าที่ขาย ได้เงินเยอะมาก
“ ฝึกภาษาอังกฤษ จากการทำงาน ”
ผมชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาก เจออะไรก็จะพยายามคิดเป็นภาษาอังกฤษ จนวันหนึ่งได้มีโอกาสพบฝรั่งคนนึง มีโอกาสเข้าไปคุย จนได้งานทำเป็นล่าม ทำหน้าที่แปลหนังสือสัญญา แปลสำนวนกฏหมายไทย เป็นภาษาอังกฤษ “ได้เงินเดือน 400 บาท” ผมฝึกภาษาอังกฤษจากการทำงาน จนมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อยอดการทำงานทั้งธุรกิจและการเมืองได้มากมายในเวลาต่อมา
“ สมัยเรียนธรรมศาสตร์ คนแรก ที่ริเร่ิมค่ายพัฒนาอีสาน ”
พอเข้าธรรมศาสตร์ผมเป็นคนแรกที่ริเริ่ม “ชมรมอาสาพัฒนาอีสาน” และ “นิสิตอีสานพัฒนาประเทศไทย” ไปตั้งค่ายในทุกจังหวัดของภาคอีสาน ไปเห็นความทุกข์ความยากของประชาชน ซึมซับชาวไร่ ชาวนา พยายามไปดูว่าทำอะไรจึงจะช่วยเค้าได้
“ แต่ละช่วงชีวิต ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเดิม ”
สำหรับผม ในแต่ละช่วงชีวิต ล้วนมีหลักคิดที่แตกต่างกันไป มันพัฒนาขึ้นตามประสบการณ์และวัย คือ
อายุ 01-20
" คิดว่า เราเป็นลูกชาวนา ก็คงต้องเป็นชาวนาต่อไป"
อายุ 21-40 : เปลี่ยนกรอบความคิดว่า
"เราเป็นลูกชาวนา เราต้องทำนา แต่ต้องเป็นนายคน ไม่ทำนาแบบดักดาน”
เร่ิมเป็นนักจัดการทางการเมือง (Politacal Management) สู่นักการเมือง (Politician) ด้วยสมัยนั้นจอมพลถนอม เปิดโอกาสให้ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมือง ผมจึงก่อตั้งพรรคการเมืองตั้งแต่อายุ 23 ปี แต่สมัครเป็นนักการเมืองไม่ได้ต้องอายุ 30 ปี ไม่ได้ สมัยนั้นมีนายชวน หลีกภัย นายชัย ชิดชอบ (พ่อคุณเนวิน) เป็นนักการเมือง แต่ผมเป็น “นักจัดการทางการเมือง” ไม่ใช่ “นักการเมือง”
อายุ 41 - 60 "ช่วงชีวิตนี้คิดว่า เราเป็นลูกชาวนา แต่จะไม่ทำนาแล้ว แต่จะเป็นนาย"
จนได้เป็นนายอย่างตั้งใจ เป็น รมต.ถึง 6 กระทรวง คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ ทบวงมหาวิทยาลัย แตกต่างไปตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้รับการมอบหมายและตั้งใจทำมันอย่างดีที่สุด
อายุ 61 - ปัจจุบัน
“Leadership is not position anymore but action”
เราตระหนักรู้ว่า “ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งทางการเมือง ก็สามารถสร้างประโยชน์ได้”
“ เพราะพ่อถูกนักการเมืองทำร้าย จึงอยากเป็นนักการเมือง ”
ในอดีตผมอยากเป็นนักการเมือง เนื่องจากเห็นนักการเมืองเอาไม้ตะพดตีหลังพ่อ ซึ่งสมัยนั้นพ่อผมก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ในชุมชน มีคนเคารพนับถือ แต่ยังโดนนักการเมืองกร่างมาทำร้าย เราเป็นเด็กเราเกิดคับแค้นใจ อยากรู้ว่ามันใหญ่แค่ไหน เป็นอย่างไร จึงอยากพิสูจน์ตัวเองดู จึงตั้งใจพัฒนาตนเองมาก ตั้งพรรคการเมือง ทำงานขับเคลื่อนทางการเมือง ตั้งแต่อายุ 23 ปี แต่ไม่ได้เป็นนักการเมืองเพราะอายุยังไม่ถึง (สมัยนั้นสมัคร สส.ต้องอายุ 30 ขึ้นไป) และสามารถสอบเป็นปลัดอำเภอได้ตอนอายุ 30 ปี ในปี 2518 (เป็น 1 ใน 25 ของประเทศไทย)
“ เป็น สส.สอบตก จนตั้งปณิธานว่า หากยังดูแลตัวเองไม่ได้ จะไม่ยุ่งกับการเมือง ”
หลังจากนั้นตัดสินใจลาออกจากปลัดอำเภอไปลงสมัคร สส. อุดรธานี แต่สอบตก จนทางบ้านเดือดร้อน จึงตั้งปณิธานว่า “ต่อไปนี้ ถ้ายังดูแลครอบครัว ดูแลตัวเองไม่ได้ ห้ามไปยุ่งกับการเมืองเด็ดขาด”
“ สร้างธุรกิจ จากความซื่อสัตย์ ”
จึงหันมามุ่งมั่นทำธุรกิจ ในสมัยช่วงตะวันออกกลางบูม ผมทำธุรกิจเรื่องแรงงานระหว่างประเทศ ในสมัยนั้น มีคนไทยตกงานมากกว่า 2 ล้านคน เกิดมวลชนไปประท้วงหน้าทำเนียบจำนวนมาก สมัยนั้นผมทำงานที่ International Labor Organisation มีข้อมูลว่า “ตะวันออกกลางต้องการแรงงานไทยเป็นจำนวนมาก” เราจึงเริ่มต้นในการส่งออก แรงงานไทยในต่างประเทศ
“ ความซื่อสัตย์มีราคา บันไดสู่พันล้าน ”
จุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญเกิดจาก “ความซื่อสัตย์” ผมมีเพื่อนฝรั่งเป็นนักธุรกิจอยากซื้อเครื่องเพชรไปฝากภรรยา ไม่รู้ไปไหน ผมจึงถามเพื่อนให้และพาไปที่ร้าน “V Thailand” แถวกิ่งเพชร พอไปที่ร้าน “ฝรั่งคนนั้น ซื้อของไปรวมกว่า 2 ล้านบาท” ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ กับค่าเงินสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ทางร้านดีใจมาก กระซิบบอกผมว่า ส่งฝรั่งเสร็จแล้ว กลับมาที่ร้านด้วยนะ “เค้าตีเช็คค่าน้ำมาให้จำนวน 600,000 บาท” (ค่า Commission)
“ ปฏิเสธเงิน 600,000 เพราะรู้สึกไม่เป็นธรรม จึงทำให้มีพันล้าน"
เงิน 600,000 ในสมัยนั้น ถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แต่เราตัดสินใจไม่เอาเงินนี้ เพราะคิดว่าทำไมเพื่อนเราเค้าต้องจ่ายเงินคืนจำนวนมาก และมันดูไม่เป็นธรรมกับเพื่อนฝรั่งของเรา
จึงกลับไปบอกเพื่อนและฝรั่งว่า “ทางร้านเค้าให้เงินค่าน้ำมาให้ผม แต่ผมไม่อยากเอา จึงตัดสินใจเอามาคืน และนั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมีเงินเป็นพันล้าน” เพราะก่อให้เกิดความเชื่อและไว้วางใจ จนเกิดเป็นการตั้งบริษัททำงานร่วมกัน โดยเพื่อนชาวฝรั่งเป็นคนหา Order ส่วนเราเป็นคนหาแรงงานและทำเอกสาร ทำงาน SLOT : Skills Labor of Thailand เราส่งแรงงานออกไปกว่า 300,000 คน จากคนไทยที่ออกไปทำงานทั้งหมด 3 ล้านคนในรอบ 10 - 15 ปี และนั่นคือจุดพลิกในการฟื้นตัวขึ้นมาได้
“ ทำธุรกิจ ต้องมีกำไร ... ทำการเมือง ต้องให้เท่านั้น ”
ถ้าทำธุรกิจ “ต้อง Take Profit” นี่คือหลักสำคัญ
แต่ถ้าเล่นการเมืองต้อง “Give” แบบ “One way ticket”
ทั้งเงิน ทั้งสมอง ทั้งเวลา มันเป็นการให้ที่มีความสุขมาก ผมเคยเป็นสส.หลายสมัย เป็นรัฐมนตรีรวมทั้งหมด 6 กระทรวง และเป็น “ผู้แทนการค้าไทย” เป็นคนแรก เป็นตัวแทนการเจรจาการค้าโลก GAT และ WTO ที่ทำได้เพราะผมไม่ต้องการหาประโยชน์จากการเมือง จึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ขายข้าว ปั้นคน โขงชีมูล แม่ฟ้าหลวง หลายผลงานที่สร้างไว้ให้แผ่นดิน”
“ประทับใจในมิตรภาพ และความตั้งใจของ เต้ิงเสี่ยวผิง ... คนพลิกประเทศ ”
สิ่งที่ประทับใจมาก คือ ในสมัย นายก พล.อ.เปรม ตอนไปญี่ปุ่น เราได้รับมอบหมายให้ไปขายข้าวที่ญี่ปุ่นและจีน จำนวน 500,000 ตัน ในสมัยที่ไปจีน คนที่ต้อนรับเราคือ “ผู้ว่าเมืองเซียงไฮ้” ชื่อ “เติ้ง เสี่ยวผิง” เค้าพาล่องเรือ และบอกเราว่า เค้าจะเปลี่ยนสลัมสองข้างทางให้กลายเป็น “New York City” เราก็ฟังๆ ไว้ จนปี 1980 เติ้งเสี่ยงผิง ได้รับการสถาปนาเป็นประธานาธิบดีของจีน และพัฒนาจีนให้เติบโตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันทำให้เราเห็นว่า “หากเราตั้งใจ อะไรก็เป็นไปได้ จากสลัมสู่เซี่ยงไฮ้ ใครจะคิด แต่นี่ทำจริงๆ จากความตั้งใจของคนๆ เดียว”
“ ปั้นคน... กระทรวงวิทยาศาสตร์ ”
ตอนอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เราขออนุมัติคนไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกปีละกว่า 1,300 คน ทั้ง Imperial Colleage ทั้งศูนย์ BioTech , Metrology และ Science Park ทำให้เราสามารถมีทรัพยากรบุคคลด้านวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นมากมาย
“ ทะเลบัวแดง และ โขง ชี มูล คือ โครงการที่ภาคภูมิใจ สมัยอยู่กระทรวงเกษตร ”
รู้มั๊ยว่าประเทศไทยมี ทะเลสาบที่สวยที่สุดเป็นหนึ่งใน 9 ของโลก นั่นก็คือ “ทะเลบัวแดง” จ.อุดรธานี
และรู้มั๊ยว่า นั่นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา จากการปรับปรุงสภาพของธรรมชาติให้สามารถท่องเที่ยวได้ สมัยผมเป็น รมว. กับพื้นที่ทะเลสาบกว่า 20,000 ไร่
“ อีกหลากหลายผลงาน ฝากไว้ให้แผ่นดิน ใครไม่รู้ ตัวเรารู้ ”
หากคิดจะเป็นนักการเมือง ต้องรู้จักริเร่ิม และสร้างประโยชน์ให้ผู้คน
พี่ประจวบ เป็นผู้เริ่มโครงการต่างๆ มากมาย เช่น
- ผู้ริเริ่มในการเอากรุ๊ปเลือดไปใส่ไว้ในบัตรประชาชน
- ผู้ริเริ่มในการใช้ระบบข้อมูลสุขภาพ (HIS : Health Information System) ให้เป็นระบบ
“ สร้างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ... สมัยเป็นรัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัย ”
ยิ่งกว่านั้นตอนเป็น รัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัย พี่ประจวบได้มีโอกาสสร้างมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งขึ้นมาในจังหวัดเชียงราย ซึ่งก็คือ “มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ทั้งรับเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยคนแรก (พ.ศ.2541 - 2543) ซึ่งจะอายุครบ 20 ปี ในปีนี้ และกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกในปัจจุบัน
“ ผู้นำที่ดีต้องไม่หยุดเรียนรู้... ดีใจที่ได้ร่วม 2morrow Scaler ”
คุณรู้มั๊ย ลีกวนยู ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสิงคโปร์ ทุกๆ ปีจะมีพักร้อน 3 เดือน เพื่อไปเรียน Short Course เหมือนลักษณะที่เราทำที่ 2morrow Scaler นี่ละ เค้าไปเรียนที่ Harvard ไปแสวงหาความรู้จากทั่วโลกเพื่อกลับมาพัฒนาประเทศ ผมเองดีใจที่ได้มามีส่วนร่วมในการส่งเสริมและพัฒนา เพราะได้ทั้งพัฒนาคนรุ่นใหม่ และผมเองก็ได้ความรู้ใหม่ๆ เช่นกัน
“ สร้างประโยชน์ให้อีสาน... สิ่งที่อยากทำในช่วงชีวิตที่เหลือ ”
ช่วงชีวิตที่เหลือของผม ไม่ยึดติดกับตำแหน่งใดๆ จึงก่อตั้ง Social Enterprise ชื่อ GIFT หรือ Global Izzan Fund of Thailand ขึ้น เพื่ออยากเอาความรู้ ความสามารถ และเครือข่ายที่มี ช่วยส่งเสริม ความโดดเด่นของทรัพยากรในภาคอีสานที่มีอยู่มากมาย ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และที่สำคัญคือ “คนอีสาน” ให้ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อคนอีสานและประเทศไทยต่อไป
===================================
และนี่คือส่วนหนึ่งของการบันทึกประสบการณ์อันมีค่า จากมังกรการเมือง พญาช้างดำแห่งอีสาน พี่ประจวบ ไชยสาส์น ประธานที่ปรึกษาหลักสูตร 2morrowScaler ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรียนรู้ เราตั้งใจจะจัดทำหนังสือที่รวบรวมประวัติและข้อคิดที่ได้จากท่าน เพื่อป็นวิทยาทานต่อไปในอนาคต หากจัดทำเรียบร้อย จะแจ้งให้ทุกท่านทราบต่อไป
ด้วยความปรารถนาดี
บอม โอฬาร วีระนนท์
CEO and Co-Founder, DURIAN
Director and Co-Founder, 2morrow Scaler
#มังกรการเมือง #พญาช้างดำแห่งอีสาน #ตำนานการเมืองไทย #อีดี้อีสาน
Comments